อะแวสะดอ ตาและ” จอมโจรขมังเวทย์ ตอนที่ 4

346

อะแวสะดอ ตาและ” จอมโจรขมังเวทย์ ตอนที่ 4

ขุนพันธรักษ์ราชเดชเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าจากการสอบสวนพูดคุยกับอะแวสะดอ ตาและตอนจับได้ใหม่ๆ ทราบว่าจริงๆ แล้ว อะแวสะดอ ตาและ เป็นชาวไทยพุทธ แต่ไปรับจ้างกลุ่มนักการเมืองในช่วงนั้นที่ต้องการแบ่งแยกประเทศ ยึดเอาจังหวัดที่มีชาวอิสลามอยู่มาก จังหวัดนราธิวาส โดยจะแสดงตัวว่าตนเป็นคนอิสลามฝากตัวเป็นลูกบุญธรรมของ “โต๊ะฮายี” ชาวอิสลาม
เมื่อเป็นโจรที่นับถือศาสนาพุทธก็ไม่มีปัญหาเรื่องสักยันต์ การมีเครื่องรางของขลังและมีวิชาอาคมคงกระพันนับถือบูชาภูติผีปีศาจซาตาน สามารถฆ่าคนได้ ซึ่งขัดกับศาสนาอิสลามอย่างสิ้นเชิงที่มุสลิมทุกคนต้องมีความเชื่อความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นคือ อัลลอฮ ต้องละหมาดวันละ 5เวลา ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์ มนต์ดำใดๆทั้งสิ้น ไล้ฟสไตล์ของผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮนั้นใช้ชีวิตแบบสโลว์ไล้ฟอย่างเรียบง่าย รับผิดชอบตัวเอง ดูแลเลี้ยงดูครอบครัว และทำความดีต่อสังคม ดำเนินตามแบบฉบับของนบีมูฮำมัด ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะทุกคนอยากรวย นับถือเงินเป็นพระเจ้าแทนอัลลอฮ อาแวสะดอ ตาและ เป็นชาวไทยพุทธ แต่รับจ้างผู้มีอิทธิพลปลอมตัวเป็นมุสลิม ใช้ศาสนาอิสลามในทางที่ผิด ปล้นฆ่า เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนและเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้เหตุผลต้องการแบ่งแยกดินแดนเป็นข้ออ้าง และเอื้อให้กับผู้มีอิทธิพลหาผลประโยชน์ในเมืองชายแดนแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยอบายมุข ของเถื่อน โสเภณี สุราเมรัยน้ำเมาทุกชนิด และยาเสพติดทุกรูปแบบ


จากการลงพื้นที่หาข้อมูลพบว่าในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 มีการใช้นามสกุล”ตาเละ” ซึ่งสามารถสืบสายสกุลไปจนถึงบรรพบุรุษที่เป็นแม่ทัพของปตานี “วันที่ปตานีแตกแม่ทัพฮูเซ็นจึงได้พาลูกน้องพร้อมกับอุลามะบางส่วนและชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งอพยพหลบหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของทหารสยามจนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งมีลักษณะภูมิประเทศที่ดีพอจะต้านศัตรูได้ ด้านหน้าเป็นทุ่งนาที่กว้างพอที่จะทำนาปลูกข้าวเลี้ยงคนทั้งกองทัพได้ ถัดไปเป็นป่าพรุ ถัดไปอีกเป็นทะเล ด้านหลังเป็นภูเขาบูโดมีผลไม้และสัตว์ป่านานาชนิดโดยเฉพาะนกและไก่ป่าจะชุกชุมมากเป็นที่มาของชื่อแห่งนี้ว่า “ตะโละมาเนาะ” ตะโละที่แปลว่าถิ่นที่อยู่ มาเนาะแปลว่านกหรือไก่ป่า (คำว่ามาเนาะ (manok)ที่แปลว่า ไก่ ยังคงมีการใช้อยู่ เช่นในภาษาตากาล๊อก (ฟิลิปปินส์), ภาษาบายาว (bajau)ในรัฐซาบะห์ รวมทั้งชาวมอแกนในแถบจังหวัดอันดามันของไทยก็ใช้คำนี้)
แม่ทัพฮูเซ็นจึงตัดสินใจคิดตั้งรกรากที่นี่ ให้ทุกคนสร้างที่พักอาศัยใกล้ๆกับลำคลองน้ำใสที่ไหลมาจากภูเขาบูโดลงสู่ทุ่งนา ตรงกลางธารน้ำมีหินสองก้อนรูปร่างประหลาดตั้งอยู่กลางลำน้ำที่นี่จึงได้ชื่อว่า “สุไหงบาตู” สุไหง แปลว่าคลอง บาตูแปลว่าหินนั้นเอง และท่านได้ปรึกษาหารือกับกลุ่มอุลามะหนึ่งในนั้นเป็นญาติของเชคดาวุด อัล-ฟาตอนีมีดำริสร้างมัสยิดขึ้นมาโดยสร้างจากไม้ตะเคียนทั้งหลังใช้สลักไม้แทนตะปู การก่อสร้างในสมัยนั้นไม่มีเลื่อย ขวาน สิ่วแต่จะใช้บือจือตา(รูปร่างคล้ายขวาน) ตัดไม้ ใช้บันลีโยง(ลิ่ม) ผ่าไม้ ใช้บายิ (รูปร่างคล้ายจอบ) ถากไม้ให้เรียบ เสาไม้มีจำนวน 26 ต้น ฝาประกบหน้าต่างทำด้วยไม้ทั้งแผง แกะสลัก เป็นลวดลายต่างๆ ตัวมัสยิดสร้างเป็นอาคาร 2 หลังติดกันรูปร่างแปลกตามีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบันชื่อ มัสยิดวาดีลอัลฮุสเซ็น หรือมัสยิดตะโละมาเนาะ หรือชื่อเพื่อโปรโมท มัสยิด 300ปี ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้พบกับความสงบของธรรมชาติ ความสันติตามหลักจริยธรรมอิสลาม กาลเวลาล่วงมาจนถึงรุ่นลูกชายได้เป็นแม่ทัพเหมือนกับบิดา มีชื่อว่า PANGLIMA TUKBATU แม่ทัพโต๊ะบาตู มีความเก่งกล้าสามารถในเชิงรบ โดยเฉพาะตัวท่านมีวิชาคงกระพันแกร่งกล้าแข็งดั่งเพชรหิน อาวุธใดๆไม่สามารถทำอันตรายได้เลย ท่านเป็นผู้ดูแลเขตสายบุรี ยี่งอ ระแงะ และเทือกเขาบูโด ยุคสมัยท่านมีทำสงครามกับหัวเมืองต่างๆอยู่เนืองๆ ท่านมีช้างอยู่ 2เชือก ตัวแรกมีชื่อว่า สือดอ (ช้างสีดอ ตัวผู้ไม่มีงา) มีนิสัยดุร้าย รูปร่างสูงใหญ่กว่าช้างทั่วไปมากนัก ตัวที่2 มีชื่อว่า อาเนาะปูโยห (แปลว่านกกระทา) ตัวเล็กไม่ใหญ่เวลาเดินดูด้านหลังคล้ายนกกระทาป่า อาเนาะปูโยหเป็นตัวโปรดของแม่ทัพโต๊ะบาตู เพราะมันฉลาด ว่องไว ปราดเปรียว เวลาออกสงครามเข้าต่อกรกับข้าศึก อาเนาะปูโยหใช้งวงจับทางมะพร้าวใช้ปัดกระสุนปืนจากศัตรู และใช้ตีข้าศึกจนล้มกลิ้งระเนระนาดแล้วมันก็วิ่งเข้าไปเหยียบจนท้องแตกใส้ทะลักแบนติดพื้นดิน จนมันได้ฉายาว่า ไอ้ช้างผี ท่านแม่ทัพโต๊ะบาตูมีภรรยา 3คน ภรรยาคนแรกอยู่ที่สุไหงบาตูมีลูกชาย 2คน ภรรยาคนที่สองอยู่ที่หมู่บ้าน บุแมโต๊ะคาลี(โต๊ะกอดี ผู้พิพากษา) ยี่งอ มีลูกชาย 1คน ลูกสาว 4คน มีสาวสวยนางหนึ่งหนีเจ้าเมืองที่จะเอามาเป็นนางสนม มาขอความช่วยเหลือกับท่าน เจ้าเมืองส่งคนมาถามหา ท่านแม่ทัพถามกลับว่าอยากได้นางสนมหรือแม่ทัพให้เลือกเอา เจ้าเมืองเลือกแม่ทัพเพราะนางสนมมีเป็นร้อยเป็นพัน ท่านจึงแต่งงานเอานางมาเป็นภรรยาคนที่สามอยู่ที่บ้านยามูแรแน บาเจาะ มีลูกชาย 3คน คนโตชื่อ สามะ คนกลางชื่อเจ๊ะและ และคนสุดท้องชื่อ อาแว

ขอบคุณข้อมูลจาก Nirundorn Lokna
ขอบคุณที่มาภาพและข้อมูล : http://goosanook.blogspot.com/2016/07/blog-post_16.html

ความเห็นถูกปิด