เคล็ดวิธีปลดบ่วงกรรมให้อาชีพการงาน กลับมารุ่งเรือง

147

เคล็ดวิธีปลดบ่วงกรรมให้อาชีพการงาน กลับมารุ่งเรือง

การปลดบ่วงกรรมที่ทำให้อาชีพ การงาน กลับมารุ่งเรืองแบบทันตาเห็นนั้น บางคน เกิดมามีอาชีพ การงานที่ดี ได้ทำงานตำแหน่งสูง ๆ เงินเดือนสูง หรือ บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่าหลายพันล้าน ในขณะที่ บางคนต้องทำงานหนักไป ตลอดชีวิต ได้ทำงานที่ต่ำต้อย ติดขัดไปเสียทุกเรื่อง

คำตอบก็คือเพราะ ทำกรรมมาต่างกัน ผลที่ได้จึงต่างกัน คนที่รวยจากอาชีพต่างๆ นั้นได้สร้างกรรม สร้างเหตุและปัจจัย ที่ส่งเสริมอาชีพการงานนั้นมาอย่างยาวนาน ก่อให้เกิดเป็นพรสวรรค์ติดตัวที่เหนือกว่าคนอื่น

เป็นหมอ ก็เพราะว่าเคยเป็นมาแล้วหลายชาติหลายภพ ได้เคยเป็นพ่อค้า นักธุรกิจเจ้าสัวมีเงินทองมากมายก็เพราะเคยเป็นพ่อค้าวานิชมาอย่างยาวนานเช่นกันหลายภพ หลายวาระ เป็นนายทหารคุมกองทัพ หากใครมีอภิญญา มีอำนาจวิเศษย้อนเวลากลับไปดูได้ ก็จะเห็นว่า เป็นสัญญาเดิม หรือที่เขาถนัดจะเรียกว่าพรสวรรค์ติดตัวมาก็ได้ เขาทำหน้าที่แม่ทัพนายกองมาหลายชาติ จนกรรมนั้น ความถนัดนั้นติดตัวมาส่งผลต่อในชาตินี้

กรรม หมายถึง การกระทำ และ การกระทำนั้นก็จะส่งให้เกิด ผลของการกระทำ ในเวลาต่อมาคนเราเกิดมาต่างกันและมีวิถีชีวิตที่ต่างกันก็เพราะ “แต่ละคนต่างมีกรรมเป็นของตนเอง โชคชะตา และวิถีชีวิตของคนแต่ละคนที่ประสบอยู่ในเวลาปัจจุบัน ก็เป็นผลมาจากการกระทำของแต่ละบุคคลทั้งสิ้น”

ปลดบ่วงกรรมให้อาชีพการงาน

“กรรม” คือ กฎของเหตุและผลนั่น คือ “เหตุ” ที่ได้กระทำ จะนำมาซึ่ง “ผล” ที่ต้องได้รับ “ผล” ที่ได้รับอยู่ในขณะนี้แสดงถึง “เหตุ” หรือเคยกระทำไว้นั่นเอง  ในสมัยนี้คนที่ร่ำรวยประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ธุรกิจการค้า พูดกันว่า เก่งอย่างเดียวไม่พอต้องเฮงด้วย คำว่า “เฮง” แล้วจริงๆ คือ บุญและกรรมดีที่ทำมา

แต่หลายคนยิ่งทำยิ่งจน ยิ่งทำก็เหมือนไม่ก้าวหน้า ยิ่งทำก็เหมือนเดินฝ่าความมืดไม่ประสบความสำเร็จเสียที บางคนหนักทำแล้วเจ๊งมาหลายครั้งทั้งๆ ที่ตั้งใจอย่างเต็มที่ ซึ่งมีหลายเหตุหลายปัจจัย ที่สกัดความเจริญเอาไว้ หากในกรรมปัจจุบัน ก็ต้องดูที่ตนเองก่อนว่ามี 4 เก่ง ทั้งเก่งตน เก่งคน เก่งงาน เก่งเงิน หรือไม่ หรือมีช่องทางทำได้เหมาะสมหรือไม่ มีกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือค้ำจุนหรือไม่

หรือแม้ตนเองจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมมีกำลังทรัพย์และสติปัญญาดีอยู่แล้ว แต่วันๆ ทุกลมหายใจเสียเปรียบใครไม่เป็น ให้ใครไม่ได้ คิดจะเอาแต่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้งเสมอ คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ค้ากำไรเกินควร เอาเปรียบคนอื่น แบบใครเขาจะเดือดร้อน ใครเขาจะไม่สบายใจ หรือไปขัดขวางประโยชน์ของคนอื่นก็ทำทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดี

หรืออาจเป็นผู้ที่ชอบกดขี่คนอื่นให้มาทำงานให้แต่ไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทนตามสมควรที่เขาผู้นั้นควรจะได้ พยายามกีดกันเงินไว้ทั้งๆที่ควรจ่ายก็ไม่ยอมจ่าย โดยสรุปใจความรวมแล้วการที่คนเราทำงานหนักแล้วไม่ค่อยได้ผลไม่เจริญก้าวหน้าก็เพราะ มีสาเหตุใหญ่คือ กิเลสต่ำ ความโลภ ความตระหนี่ ความเห็นแก่ได้เป็นเหตุให้ปิดทาง

อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ ที่มาเหนี่ยว มาฉุดรั้งความเจริญไม่ให้ประสบความสำเร็จ ก็คือกรรมเก่าและเจ้ากรรมนายเวร! สำหรับเจ้ากรรมนายเวรนั้น ครูบาอาจารย์ท่านแยกเจ้ากรรมนายเวรไว้มี 2 ประเภทเพื่อให้เข้าใจง่าย

คือ เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตและเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่มีชีวิต

– ประเภทที่หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต หมายถึง ผู้ที่เกิดอาศัย “ในภพภูมิเดียวกับเรา” เป็นผู้ที่มาสร้างความเดือดร้อน สร้างความทุกข์ คอยมาเบียดเบียนทำร้ายให้สูญเสียทั้งกาย วาจา ใจ ทรัพย์ หรือให้บาดเจ็บ ในลักษณะต่าง ๆ อาจเป็นได้ทั้งพ่อแม่บุพการี ลูกหลาน หรือญาติสนิทหรือไม่สนิท คนรัก คู่ครอง เพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้ร่วมงาน เพื่อนบ้าน คนที่เพิ่งรู้จัก หรือใครก็ตาม หรืออาจเป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีชีวิตที่เราเลี้ยง ทำให้เรามีทุกข์ หรือเหมือนติดคุกไปไหนไม่ได้ต้องเฝ้าเลี้ยงดู หรือเราไม่ได้เลี้ยงแต่สัตว์เข้ามาทำร้ายเราให้ได้รับบาดเจ็บให้พิการหรือแม้กระทั่งถึงตาย ก็เป็นไปได้เช่นกัน

– ประเภทที่สอง เจ้ากรรมนายเวรที่ไม่มีชีวิต หมายถึง “เป็นผู้ที่อยู่ต่างภพภูมิกับเรา” คือ อมนุษย์ หรือไม่ใช่มนุษย์ เป็นสิ่งที่มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น เป็นจิตวิญญาณที่แค้นอาฆาต พร้อมที่จะมาสร้างความเดือดร้อนให้เราได้ในทางใดทางหนึ่ง

ซึ่งวิธีการที่เขาจะก่อความเดือดร้อนให้เรานั้นเป็นเรื่อง “เหนือวิสัย”ของจิตมนุษย์ธรรมดาจะรับรู้ได้ นอกจากผู้ปฏิบัติธรรมชั้นสูงดังที่ครูบาอาจารย์แห่งแผ่นดินธรรม ท่านเจอและเล่ามาโดยตลอดไม่ขาดสาย เพื่อเตือนสาธุชนทั้งหลาย หากเป็นเรื่องของกรรมเก่าและเจ้ากรรมนายเวร สำหรับคนที่ทำงานแล้วไม่เจริญ ไม่ค่อยได้ผลนั้นอาจจะมีสาเหตุอยู่หลายประการ เช่นในอดีตชาติ (รวมถึงชาตินี้ด้วย เมื่อรู้แล้วอย่าทำอีกเป็นอันขาด)

เวลาไปทำบุญทำทานที่วัด เมื่อพบของทำทานเหลือจากพระสงฆ์และท่านได้อนุญาตแล้ว แทนที่จะบริจาคต่อไปให้กับคนที่ทุกข์ยากกว่าได้กินได้ใช้ กลับเอาไปทิ้งเสีย คือ ไม่เจือจานไปยังผู้อื่นหรือประเภทถวายหนึ่งถ้วยเอากลับบ้านหนึ่งถัง หรือกรณีในการทำบุญเมื่อมีคนมาชวนทำบุญก็กลับปฏิเสธ เพราะไม่อยากทำหรือบางครั้งก็ขัดขวางไม่ให้คนอื่นได้สร้างบุญด้วย หรือมาจากกรรมที่มาจากรับปากใครแล้วไม่ทำตามที่รับปาก ผิดคำพูดบ่อยๆ จนคนอื่นได้รับความเดือดร้อนจากคำพูดของตนเอง หรือไปกลั้นแกล้งคนอื่นเขาไว้ในอดีตชาติ บีบคั้นให้คนและสัตว์ทำงานหนักมาก

โดยไม่ให้ค่าตอบแทนหรืออาหาร บางครั้งก็ทำเป็นลืมๆ ไป ปล่อยให้เขาต้องทำงานหนัก หิวโหยและทนทุกข์ทรมานต่อการกระทำนั้น หรือมีนิสัยดุร้าย เลี้ยงดูบุตรหลานอย่างเข้มงวดเกินไป ทุบตีหรือให้ทำงานที่เกินกำลังของเขาหรือให้ไปทำผิดศีลทั้งๆ ที่รู้ แล้วเอาเงินนั้นมาบำเรอความสุขของตนปล่อยให้ลูกทุกข์ทรมาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com

ความเห็นถูกปิด